ผ่าตัดแปลงเพศ

ผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
โดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

อัตราค่าบริการ

ผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
Gender Affirmation Snuggery - Male to Female

เทคนิคต่อกราฟ (Penile skin inversion scrotal skin graft) – 300,000 บาท

เทคนิคต่อลำไส้ (Rectosigmoid Vaginoplastry) – 600,000 บาท

การผ่าตัดแปลงเพศ
จากชายเป็นหญิง

ผ่าตัดแปลงเพศ (Sex Reassignment) เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงเพศสภาพภายนอกให้ตรงกับสภาพจิตใจของผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด โดยมีทั้งการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง แม้วิทยาการในปัจจุบันจะก้าวหน้ามากขึ้น แต่การผ่าตัดแปลงเพศก็ยังคงเป็นวิธีการที่มีความซับซ้อน ผู้ป่วยไม่สามารถเปลี่ยนสภาพร่างกายไปเป็นเพศที่ตรงข้ามกับเพศกำเนิดของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ และการผ่าตัดอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ การทำงาน การเข้าสังคม และการใช้ชีวิตไปตลอดชีวิตของผู้ป่วย การแปลงเพศจึงเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ผู้ป่วยควรตัดสินใจอย่างรอบคอบภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ จะต้องรับการตรวจจากจิตแพทย์ว่าได้ผ่านการทดสอบ โดยมีคุณสมบัติความพร้อมมาตรฐานโลกของสมาคม เบนจามิน แฮร์ริสันดังนี้

อ่านเพิ่มเติม

ตัวอย่างเคสคนไข้

การปรึกษาแพทย์ก่อนแปลงเพศ

การปรึกษาแพทย์มักจะต้องเตรียมตัวดังนี้

  1. มีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ 2 ท่าน ท่านละ 1 ใบ ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่ขอ (หากเป็นชาวต่างชาติ ต้องมีใบรับรองแพทย์จากจิตแพทย์ประเทศนั้นๆมา 1 ใบ และมีใบรับรองแพทย์จากแพทย์ในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ใบ)
  2. ความลึกของช่องคลอดที่ต้องการ
  3. ลักษณะของแคมนอกและแคมใน ต้องการขนาดความเล็กหรือใหญ่
  4. ขนาดของจุดรับความรู้สึก             

โดยทั่วไปในเทคนิคปัจจุบัน จะมีรายละเอียดของอวัยวะเพศภายนอก ได้แก่

  • แคมนอก
  • แคมใน
  • คลิตอริส
  • ท่อปัสสาวะ
  • ช่องคลอด

โดยแคมในและคลิตอริส เป็นส่วนที่มาจากส่วนปลายของอวัยวะเพศชายและหนังหุ้มอวัยวะเพศ โดยที่ศัลยแพทย์แต่ละท่านจะมีเทคนิคการทำคลิตอริสและแคมในต่างกัน สำหรับส่วนที่เป็นแคมนอกมักใช้ผิวหนังบริเวณอัณฑะมาทำซึ่งมักจำมีเทคนิคใกล้เคียงกัน โดยทั่วไป เทคนิคการผ่าตัดจะคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในส่วนของรายละเอียด ซึ่งขึ้นกับอวัยวะเดิมจะมีเนื้อเยื่อที่จะใช้มากหรือน้อย และขึ้นกับความต้องการของคนไข้แต่ละคน

ภาพจาก mymeditravel.com

เทคนิคการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง

การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง แบ่งได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ ตามเทคนิคที่ใช้สร้างช่องคลอด ได้แก่ เทคนิคต่อกราฟ และ เทคนิคที่ใช้เนื้อเยื่อจากช่องท้อง ได้แก่ การต่อลำไส้ 

ภาพจาก researchgate.net

เทคนิคต่อกราฟ

เทคนิคต่อกราฟ หมายถึง การผ่าตัดแปลงเพศโดยใช้ผิวหนังอวัยวะเพศเดิมมาสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดช่องท้อง และหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็นบริเวณหน้าท้องได้ ความลึกของช่องคลอดจะขึ้นอยู่กับสรีระของอุ้งเชิงกรานคนไข้เป็นหลัก โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5.5-6 นิ้ว

เทคนิคต่อกราฟเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการผ่าตัดแปลงเพศครั้งแรก มีความซับซ้อนไม่มาก และความเสี่ยงไม่สูง อย่างไรก็ตามหลังผ่าตัดจะต้องมีการดูแลช่องคลอดใหม่ด้วยการขยายช่องคลอด (แยงโม) อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีแรก

อ่านเพิ่มเติม

ข้อดี-ข้อเสียของเทคนิคนี้

  • สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
  • สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ช่องคลอดที่มีความลึกและใช้งานได้จริง
  • ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดช่องท้อง
  • ช่องคลอดสามารถตีบตันหรือตื้นลงได้ หากดูแลได้ไม่ดีพอ
  • ไม่มีสารหล่อลื่นภายในช่องคลอด
  • อาจมีแผลเป็นเพิ่มเติมในกรณีที่นำกราฟจากบริเวณอื่นมาใช้
ภาพจาก chet-plasticsurgery.com

เทคนิคการต่อลำไส้

เทคนิคการต่อลำไส้ต้องทำการผ่าตัดช่องท้อง และใช้ลำไส้ใหญ่มาสร้างเป็นช่องคลอด วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถสร้างช่องคลอดที่มีความลึกได้มากขึ้น มีความคงทนแข็งแรง และไม่มีการตีบตัน อย่างไรก็ตามบริเวณ “ปากทางเข้าช่องคลอด” ยังสามารถตีบแคบลงได้ จากการหดตัวของบาดแผล ดังนั้นผู้ที่แปลงเพศด้วยวิธีนี้จึงยังต้องขยายช่องคลอด เพื่อป้องกันการหดแคบลงของบริเวณปากทางเข้า

เทคนิคการต่อลำไส้ มักใช้ในการผ่าตัดแก้ไขเพิ่มความลึก หรืออาจทำเป็นการผ่าตัดครั้งแรกก็ได้ ในกรณีที่คนไข้มีผิวหนังอวัยวะเพศน้อย โดยลักษณะของอวัยวะเพศภายนอกจะเหมือนกับแบบต่อกราฟทุกประการ

อ่านเพิ่มเติม

ข้อดี-ข้อเสียของเทคนิคนี้

  • ช่องคลอดมีความลึก มีความคงทนแข็งแรง
  • มีเยื่อเมือกภายในช่องคลอด
  • สามารถสร้างอวัยวะเพศภายนอกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
  • มีความรู้สึกทางเพศ และถึงจุดสุดยอดได้
  • ต้องผ่าตัดช่องท้อง และต้องตัดต่อลำไส้
  • ปากทางเข้าช่องคลอดอาจตีบตันได้ ถ้าหากขยายได้ไม่ดี
  • มีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ของลำไส้ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ ลำไส้อักเสบ
  • อาจเกิดพังผืด จากการผ่าตัดเข้าช่องท้อง
  • มีแผลเป็นบริเวณหน้าท้อง

ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ

  1. ก่อนผ่าตัดแพทย์จะนัดมาโรงพยาบาลก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ชั่งโมง เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาด รับประทานยาระบายเพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดก่อนการผ่าตัด
  2. ทำการสร้างช่องคลอดใหม่ และตัดท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่สามารถนั่งปัสสาวะได้
  3. ตัดอัณฑะทั้ง 2 ข้าง
  4. ดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศชายไปเป็นผนังช่องคลอดโดยหนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจากหนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวอวัยวะเพศชายเดิมและกระดูกอุ้งเชิงกราน โดยทั่วไป อาจเพิ่มความลึกต่อโดยต่อด้วยหนังหุ้มอัณฑะ หรือตามเทคนิควิธีการที่ตกลงกับแพทย์ไว้ก่อนผ่าตัด
  5. ตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด แคมนอก (Labia Major) โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูกอัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้วนำหนังและเนื้อเยื่อรอบๆมาตกแต่งเพื่อสร้างรูปร่างภายนอกของแคมนอก (Labia Major) ส่วนแคมใน (Labia Minor) ได้มาจากหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ สำหรับตกแต่งอวัยวะเพศภายนอก
  6. การตกแต่งประสาทรับรู้ความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกของเพศหญิง เรียกว่าปุ่มคลิทอริส (Clitoris) โดยใช้ปลายอวัยวะเพศสำหรับการตกแต่ง
  7. ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 4-5 ชั่วโมง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

  1. ผู้ป่วยควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยไม่ควรขับรถมาเองในวันผ่าตัด
  3. ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยควรงดรับประทานยาดังต่อไปนี้ ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่พาราเซตามอน ยาคุม ยาสมุนไพร วิตามิน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดบางชนิด ต้องหยุดรับประทานก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน
  4. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ของมึนเมาก่อนการผ่าตัด 1 เดือน
  5. ไม่ควรนำเครื่องประดับและของมีค่าทุกชนิดมาในวันผ่าตัด ถ้าทรัพย์สินเสียหายทางโรงพยาบาลจะ ไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
  6. ในวันผ่าตัดควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ใส่สบาย ใช่ชุดเดรชกระโปรง เลือกเสื้อที่ติดกระดุมหน้าหรือรูดซิปด้านหน้าเพื่อสะดวกต่อการสวมใส่ รองเท้าให้เลือกรองเท้าสวมสบายไม่หุ้มข้อ ผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องก้มเพื่อใส่รองเท้า
  7. ในวันผ่าตัดตอนเช้าควรอาบน้ำ สระผม โกนขนในที่ลับมาก่อนผ่าตัด
  8. ในวันผ่าตัดผู้ป่วยต้องไม่ทาสีเล็บ หรือต่อเล็บปลอมใดๆ ที่นิ้วมือ นิ้วเท้า
  9. ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ญาติมานอนเฝ้าผู้ป่วย

สิ่งที่ผู้ป่วยควรนำมาด้วยในวันผ่าตัด

  1. ยาประจำตัวของผู้ป่วย
  2. ชุดหลวมกว้างใส่สบายแนะนำให้เป็นกระโปรงยาวไม่รัดรูป เพื่อใส่กลับบ้าน
  3. ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดแปลงเพศ

ผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตัวผู้ป่วย และมาตามที่โรงพยาบาลนัดทุกครั้งอย่างเคร่งครัดเพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดได้ในภายหลัง การมาตามนัดถือเป็นหน้าที่ของผู้ป่วย หากผู้ป่วยผิดนัดแล้วเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างนี้ ผู้ป่วยจะไม่สามารถเรียกร้องให้โรงพยาบาลรับผิดชอบได้ เพราะอาจเกิดจากการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดอย่างไม่เหมาะสม

  • ผู้ป่วยในระยะหลังการผ่าตัดควรนอนราบและเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด เพื่อลดโอกาสมีเลือดออกหลังการผ่าตัด
  • เมื่อทำการตรวจแผลหลังการผ่าตัดสองวันจะได้รับการทำความสะอาดแผลและส่องไฟ ผู้ป่วยควรระมัดระวังอุบัติเหตุจากความร้อนของโคมไฟด้วย
  • ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์และเจ้าหน้าที่ในการดูแลหลังผ่าตัดโดยเคร่งครัด
  • การทำแผลก่อนกลับบ้านผู้ป่วยบางรายอาจมีสายสวนปัสสาวะคาอยู่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการบวมของท่อปัสสาวะทำให้ไม่สามารถปัสสาวะได้เองในระยะแรก
  • ผู้ป่วยบางรายที่ได้นำสายสวนปัสสาวะออก อาจไม่สามารถปัสสาวะได้เองในระยะหลัง จึงอาจต้องมีการใส่สายสวนปัสสาวะใหม่อีกครั้ง
  • สัปดาห์แรกหลังจากออกจากโรงพยาบาลผู้ป่วยมีนัดทำแผลทุกวันเพื่อตรวจสอบการหายของแผลและตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม ผู้ป่วยจะต้องมาตามที่โรงพยาบาลนัดอย่างเคร่งครัด
  • ผู้ป่วยควรดูแลบาดแผลและแช่น้ำอุ่นตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และทายาตามความเหมาะสม
  • เมื่อเจ้าหน้าที่ประเมินบาดแผลแล้วจะทำการขยายช่องคลอด ผู้ป่วยควรทำความเข้าใจและให้ความร่วมมือขณะทำการขยาย
  • เมื่อผู้ป่วยสามารถทำการขยายช่องคลอดได้เองแล้ว จะต้องทำการขยายด้วยตนเองวันละสองครั้ง หากมีอาการตีบของช่องคลอดที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดเมื่อพ้นระยะการดูแลของโรงพยาบาล           (3 เดือนหลังการผ่าตัด)  เป็นความรับผิดชอบของผู้ป่วยที่เกิดจากการดูแลตัวเองอย่างไม่เหมาะสมและไม่สามารถเรียกร้องการรับผิดชอบจากทางโรงพยาบาลได้
  • ขณะที่อยู่ในช่วงดูแลการหายของบาดแผลไม่ควรรับประทานอาหารย่อยยาก อาหารรสจัด อาหารหมักดอง เพื่อลดโอกาสการเจ็บป่วยหรือท้องเสีย
  • ในระยะพักฟื้นควรพักผ่อนมากๆ ไม่ควรเดินเป็นเวลานาน
  • ไม่ใส่ยาหรือผงโรยแผลใดๆนอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง

คำถามที่พบบ่อย

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดแปลงเพศชายเป็นหญิง มีดังนี้:

  1. แผลผ่าตัดแยกหรือหายช้าหรือช่องคลอดใหม่หลุดลอกออก พบได้บ่อยพอสมควรเนื่องจากแผลผ่าตัดมีจุดที่ต้องมีการเย็บประกอบขึ้นมาจากผิวหนังหลายส่วน  รวมทั้งการดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานอวัยวะเพศใหม่เร็วเกินไป  ถ้าแผลแยกหรือหลุดลอกไม่มากอาจใช้การทำแผลไปเรื่อยๆจนแผลหายเองได้  แต่ถ้าเป็นมากอาจจะต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข
  2. มีเลือดคั่งใต้แผลผ่าตัด
  3. ช่องคลอดทะลุเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด ถ้าไม่รุนแรงก็อาจจะเย็บปิดได้เลย แต่ถ้าเกิดการติดเชื้อรุนแรงก็อาจจะต้องระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องก่อนเพื่อให้แผลรอยทะลุหายสนิทดีค่อยนำลำไส้กลับเข้าที่เดิม
  4. ปัสสาวะลำบาก เนื่องจากคนไข้จะต้องใส่ท่อสวนปัสสาวะ จึงอาจจะทำให้รูเปิดท่อปัสสาวะบวมและปัสสาวะไม่ออกในช่วงแรกหลังจากถอดท่อสวนออกแล้ว  อาการเหล่านี้พบเห็นได้ทั่วไปและจะหายไปเองเมื่ออาการบวมลดลง นอกจากนี้แล้วคนไข้อาจจะประสบปัญหาเลือดออกในช่วงแรกแต่อาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปแล้วประมาณ 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
  5. ช่องคลอดตีบ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะต้องทำการขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 6-12 เดือน มิฉะนั้นก็อาจจะเกิดช่องคลอดตีบแคบได้ ถ้าเกิดใหม่ๆหลังการผ่าตัดอาจจะทำการถ่างขยายได้  แต่ถ้าทิ้งเอาไว้นานจนมีพังผืดแข็งก็อาจจำเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดแก้ไข
  6. ช่องคลอดตื้น เช่นเดียวกับช่องคลอดตีบถ้าเกิดในระยะหลังก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อหาเนื้อเยื่ออื่นมาเสริมเพื่อเพิ่มความลึกแทน เช่น สำไส้ใหญ่ เป็นต้น

ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดแปลงเพศ ที่ผู้รับการผ่าตัดมักกังวลคือเรื่องของความสวยงามและการรับความรู้สึก   ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายปัจจัย แพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถให้คำแนะนำ และเลือกชนิดของการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด   

ระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัด มีดังนี้

  • คนไข้จะนอนโรงพยาบาล 6 วัน 5 คืน นับจากวันที่ผ่าตัด
  • 4 วันแรกหลังผ่าตัด แพทย์จะยังไม่อนุญาตให้คนไข้ลุกจากเตียง จะมีผ้าก๊อซปิดแผลไว้สองชั้น มีสายสวนปัสสาวะและสายเดรนคาไว้
  • ในวันที่ 6 แพทย์จะเปิดผ้าก๊อซออกทั้งหมด และถอดสายเดรนออก แพทย์จะเช็คความลึกและตรวจช่องคลอด หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ สามารถกลับบ้านได้
  • ถอดสายปัสสาวะออก  5-7 วัน หลังจากกลับบ้านได้
  • หลังผ่าตัดด้วยเทคนิคต่อกราฟ ควรหยุดพักรักษาตัวประมาณ 1 เดือน เพราะจะยังเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก และต้องขยายช่องคลอดทุกวัน โดยแพทย์จะนัดตรวจติดตามจนกว่าแผลผ่าตัดจะหายดี
  1. สัปดาห์แรกหลังจากออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีนัดทำแผลทุกวัน เพื่อตรวจการหายของแผลและตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม
  2. สัปดาห์ที่สอง ผู้ป่วยมีนัดทำแผลทุกวัน หรือตามนัดในกรณีที่ต้องดูแลพิเศษ เพื่อตรวจการหายของแผล นัดตัดไหม ขยายความกว้าง และตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม เพื่อประเมินการหายของช่องคลอดเทียม
  3. สัปดาห์ที่สาม ผู้ป่วยมีนัดทำแผลทุก 2-3 วัน เพื่อตรวจการหายของแผล ตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม
  4. สัปดาห์ที่สี่ ผู้ป่วยมีนัดทำแผล 1 วัน (ตรวจครบ 1 เดือน) เพื่อตรวจการหายของแผล ตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม
  5. ครบ 3 เดือน ผู้ป่วยมีนัดตรวจการหายของแผล ตรวจความลึกของช่องคลอดเทียม
  6. อาจมีการติดตามนัดตรวจพิเศษเพิ่มเติมจากแพทย์หรือพยาบาล ในกรณีที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ

ติดต่อเรา

โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งบีจูร์

เลขที่ 1/1 ซ.สุขสวัสดิ์15/1 ถ.สุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร